ยืมแล้วไม่คืน 1270

ยืมเงินแล้วไม่คืน สู่ความสงบในใจเจ้าหนี้

            ในสังคมที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน การหยิบยืมเงินทองถือเป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อใดที่คำสัญญาว่าจะคืนกลับเลือนหายไปกับสายลม ความทุกข์ใจย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ให้ยืม ความรู้สึกโกรธแค้น เสียดาย และคำถามที่ว่า “ทำไมต้องเป็นเรา” มักจะวนเวียนสร้างความขุ่นมัวอยู่ไม่จบสิ้น ในทางธรรมะ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นภาพสะท้อนของกฎแห่งกรรมที่ผูกพันกันมา การทำความเข้าใจและแก้ไขที่ต้นเหตุแห่งทุกข์ในใจเรา คือหนทางแห่งการ “แก้กรรม” ที่แท้จริง

มองให้เห็นถึง หนี้กรรมที่ซ่อนอยู่

            เมื่อต้องเผชิญกับลูกหนี้ที่ไม่คืนเงิน สิ่งแรกที่ควรพิจารณาในมุมมองทางธรรมคือ กรรมเก่าที่เราอาจเคยสร้างไว้ในอดีตชาติ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม เคยสอนไว้ว่า การที่เราต้องมาเจอคนโกงหรือยืมแล้วไม่คืนนั้น อาจเป็นเพราะเราเคยไปโกงเขามาก่อนในภพชาติใดภพชาติหนึ่ง การกระทำในอดีตได้ส่งผลมาถึงปัจจุบัน การที่เรามาอยู่ในฐานะ “เจ้าหนี้” ในวันนี้ อาจเป็นการชดใช้ “หนี้กรรม” ที่เราเคยเป็น “ลูกหนี้” ในวันวาน

การมองเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าให้ยอมจำนนต่อความไม่ถูกต้อง แต่เป็นการปรับมุมมองเพื่อลดความร้อนรุ่มในใจ เมื่อเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย เราจะคลายจากความยึดมั่นถือมั่นว่า “เงินของฉัน” และเห็นว่าเป็นเพียงการหมุนเวียนของกรรมเท่านั้น การที่เราได้ให้เขายืมไป ดีกว่าการที่เราต้องไปโกงเขามา เพราะการเป็นผู้ให้ย่อมมีบารมีสูงกว่าผู้ขโมยหรือผู้คดโกง

ผลกรรมของผู้ยืมแล้วไม่คืน

            สำหรับผู้ที่ยืมเงินไปแล้วมีเจตนาที่จะไม่คืนนั้น ได้สร้างกรรมใหม่ที่ไม่ดีแก่ตนเองอย่างมหาศาล กรรมนี้เปรียบเสมือนการสร้างพันธนาการที่รัดรึงชีวิตตนเองให้พบเจอแต่อุปสรรค ดังนี้

  • สร้างความติดขัดในชีวิต: กรรมจากการเบียดเบียนทรัพย์สินผู้อื่น จะส่งผลให้ชีวิตในอนาคตทำมาค้าขายไม่ขึ้น มีอุปสรรคทางการเงินอยู่เสมอ หาเงินได้มาก็มีเหตุให้ต้องเสียไป เก็บเงินไม่อยู่
  • ขาดความน่าเชื่อถือ: แม้ในทางโลกหรือทางธรรม ผู้ที่ผิดคำสัจจะย่อมขาดความน่าเชื่อถือ วาจาไม่ศักดิ์สิทธิ์ จะขอพรหรือทำสิ่งใดก็มักไม่เห็นผล
  • เป็นหนี้กรรมข้ามภพข้ามชาติ: หากไม่ชดใช้ในชาตินี้ กรรมนี้จะติดตามไปในชาติหน้า อาจต้องเกิดมาเพื่อชดใช้คืนในรูปแบบต่างๆ เช่น เกิดมายากจนข้นแค้น หรือเป็นผู้ที่ถูกเบียดเบียนอยู่ร่ำไป

แนวทาง แก้กรรมในฝั่งของเจ้าหนี้: สร้างบุญใหม่เพื่อใจที่สงบ

            เมื่อเข้าใจในกฎแห่งกรรมแล้ว การ “แก้กรรม” ที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าหนี้ ไม่ใช่การสาปแช่งหรือผูกเวร แต่คือการสร้างกรรมดีใหม่เพื่อตัดวงจรแห่งหนี้สินนี้ให้สิ้นสุดลง

1. การให้อภัยทาน (อโหสิกรรม): หัวใจของการแก้กรรมคือการให้อภัย การสวดมนต์ แผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ลูกหนี้คนนั้น พร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานอโหสิกรรม ไม่จองเวรซึ่งกันและกัน คือการ “ยกหนี้” ในทางธรรม แม้หนี้ในทางโลกอาจจะยังอยู่ แต่หนี้ทางใจที่ผูกมัดเราไว้กับความทุกข์ได้ถูกปลดเปลื้องแล้ว การกระทำเช่นนี้ถือเป็นทานบารมีอันยิ่งใหญ่ ที่จะส่งผลให้จิตใจเราสงบและมีอิสระ

2. พิจารณาการกระทำของตนเอง: ในการให้ยืมครั้งนั้น เราให้ยืมด้วยความเมตตา กรุณา หรือให้ยืมด้วยความโลภอยากได้ดอกเบี้ย หากมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์แฝงอยู่ ก็ควรสำรวจและแก้ไขที่จิตใจตนเองเป็นอันดับแรก

3. การปล่อยวาง: ทำใจให้เหมือนว่าเราได้ทำบุญหรือทำเงินก้อนนั้นหายไปแล้ว การยึดติดกับเงินที่เสียไปมีแต่จะสร้างความทุกข์ให้เพิ่มพูน การปล่อยวางจะทำให้เราก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างไม่หนักอึ้ง

4. สร้างบุญใหม่อย่างสม่ำเสมอ: เมื่อจิตใจเริ่มสงบแล้ว ให้หมั่นสร้างบุญกุศลใหม่ๆ เช่น การทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา บุญใหม่ที่สร้างขึ้นจะเป็นพลังงานบวกที่ช่วยเกื้อหนุนให้ชีวิตพบเจอแต่สิ่งที่ดีงาม และอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ได้เงินคืนมาอย่างไม่คาดคิด หรือเปิดทางให้มีทรัพย์สินเงินทองไหลมาเทมาจากช่องทางอื่นแทน

การถูกยืมเงินแล้วไม่ได้รับคืนนั้นเป็นบททดสอบทางใจที่สำคัญบทหนึ่ง แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะทำใจ แต่หากเราใช้ธรรมะเป็นเครื่องนำทาง เราจะสามารถเปลี่ยนความทุกข์และความแค้นให้กลายเป็นปัญญาและบารมีได้ในที่สุด การแก้กรรมที่แท้จริงคือการแก้ไขที่การกระทำและความคิดของเราเอง เมื่อใจเราพ้นจากบ่วงแห่งความโกรธแค้นแล้ว ความสงบสุขย่อมบังเกิดขึ้น โดยไม่ต้องรอให้ใครนำเงินมาคืน