
ธรรมะกับชีวิต: ทำดีได้ชั่ว มีจริงหรือ?
ในชีวิตประจำวัน เรามักจะได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งเป็นหลักสัจธรรมที่อยู่คู่กับสังคมมาอย่างยาวนาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรามักจะได้เห็นเหตุการณ์ที่คนทำความดีแต่กลับต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆ หรือคนทำชั่วกลับได้ดีมีสุข ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่า หลักการนี้เป็นความจริงหรือไม่ และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ทำดีแต่ได้ชั่ว เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ผลของกรรมไม่ได้เกิดขึ้นทันทีเหมือนกับการโยนหินลงน้ำแล้วเกิดเสียงดัง แต่กรรมมีเวลาเป็นของมันเอง เหมือนกับการปลูกต้นไม้ที่ต้องใช้เวลาในการเติบโต ผลของกรรมในอดีตชาติ หรือกรรมในปัจจุบันที่เคยทำไว้ อาจส่งผลในชาตินี้ ทำให้เราเผชิญกับเรื่องราวที่ไม่ดี แม้ว่าในปัจจุบันเราจะทำความดีอย่างสม่ำเสมอก็ตาม
ดังนั้น การที่เราทำดีแต่กลับได้สิ่งไม่ดี อาจไม่ใช่เพราะความดีที่เราทำไม่มีผล แต่เป็นเพราะกรรมไม่ดีในอดีตกำลังส่งผลอยู่ต่างหาก เหมือนกับการที่เราทานยาบำรุงในขณะที่ยังเป็นไข้ ยาบำรุงอาจช่วยให้อาการไม่หนักขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าอาการจะหายไปทันที
บทบาทของกรรมดี
การทำความดีในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องที่สูญเปล่า ความดีที่เราทำในวันนี้เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์แห่งความสุข ที่จะค่อยๆ เติบโตและให้ผลในอนาคต หากเราทำความดีอย่างต่อเนื่อง ความดีนั้นจะไปบั่นทอนและลดทอนกำลังของกรรมไม่ดีในอดีตให้เบาบางลงได้ และในที่สุดเมื่อกรรมไม่ดีหมดลง ความดีที่เราได้สะสมไว้ก็จะเริ่มส่งผลให้เราได้พบกับความสุขและความเจริญในที่สุด
สรุป
การที่เราจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างถ่องแท้ เราจะต้องใช้ปัญญาพิจารณาว่า “กรรม” คือการกระทำที่ส่งผลตามมาเสมอ ไม่ช้าก็เร็ว การที่เราทำดีแล้วไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในทันที ไม่ได้หมายความว่าความดีนั้นจะไร้ค่า แต่ความดีนั้นเป็นเสบียงบุญที่จะช่วยค้ำจุนชีวิตเราในยามที่ต้องเผชิญกับอุปสรรค และเป็นสิ่งที่จะนำพาเราไปสู่ความสุขที่แท้จริงในอนาคต
ดังนั้น ขอให้เราจงเป็นผู้มีปัญญา เข้าใจในหลักของกรรม และไม่ท้อถอยในการทำความดี เพราะเมื่อใดที่เราทำความดีอย่างแท้จริง ผลแห่งความดีนั้นจะย่อมกลับมาสู่เราอย่างแน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ขอเจริญพร.
ทำดีได้ชั่ว: อธิบายในมุมมองทางธรรม
ในหลักคำสอนทางพุทธศาสนา มีคำกล่าวที่เป็นสัจธรรมว่า “ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว” แต่ในบางครั้งเราอาจเห็นคนทำความดีแต่กลับได้รับผลร้าย หรือคนทำความชั่วแต่กลับได้ดีมีสุข สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขัดแย้งกับหลักธรรม แต่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการดังต่อไปนี้
1. กรรมไม่ได้ให้ผลทันที
กรรมไม่ได้ส่งผลในทันทีเหมือนการกดปุ่มแล้วไฟติด กรรมจะส่งผลเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เหมือนกับการปลูกต้นไม้ที่ต้องใช้เวลาในการเติบโต กว่าจะออกดอกออกผลก็ต้องผ่านทั้งแดดและฝน ดังนั้น ผลของกรรมที่ส่งมาถึงเราในวันนี้ อาจเป็นผลจากกรรมที่เราได้ทำไว้ในอดีตชาติ หรือในอดีตของชาตินี้ก็ได้
2. ผลของกรรมมีทั้งด้านบวกและลบ
ในตัวเราทุกคนมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่วปะปนกันไป เมื่อถึงเวลาที่กรรมชั่วส่งผล แม้เราจะทำความดีในปัจจุบัน แต่กรรมชั่วในอดีตก็ยังคงส่งผลอยู่ เหมือนกับการที่เรากินยาบำรุงขณะที่ยังเป็นไข้ ยาบำรุงอาจช่วยให้อาการไม่หนักขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอาการจะหายไปทันที
3. ความดีช่วยลดทอนกำลังของกรรมชั่ว
การทำความดีอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันไม่ได้สูญเปล่า ความดีนั้นเป็นเหมือนเกราะป้องกันที่จะช่วยลดทอนกำลังของกรรมชั่วในอดีตให้เบาบางลงได้ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ความดีที่เราทำในปัจจุบันก็จะส่งผลให้ชีวิตของเราพบกับความสุขและความเจริญในที่สุด
4. มองผลลัพธ์ในระยะยาว
การที่เราจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างถ่องแท้ เราจะต้องมองผลของกรรมในระยะยาว ไม่ใช่แค่วันสองวัน การทำความดีในวันนี้อาจไม่ได้เห็นผลทันตา แต่ความดีนั้นจะเป็นเสบียงบุญที่จะช่วยค้ำจุนชีวิตเราในยามที่ต้องเผชิญกับอุปสรรค และเป็นสิ่งที่จะนำพาเราไปสู่ความสุขที่แท้จริงในอนาคต
ดังนั้น ขอให้เราจงเป็นผู้มีสติและปัญญาในการใช้ชีวิต ไม่ท้อถอยในการทำความดี แม้ผลลัพธ์อาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง เพราะการทำความดีคือสิ่งที่ควรค่าแก่การกระทำในตัวของมันเอง และในท้ายที่สุดแล้ว ความดีที่เราทำย่อมกลับมาสู่เราอย่างแน่นอน