แก้เคราะห์ 1264

แก้เคราะห์

     ในพระพุทธศาสนาไม่มีแนวคิดเรื่องการ “แก้เคราะห์” ด้วยพิธีกรรมหรือการดลบันดาลจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่สอนให้เข้าใจและปฏิบัติตามหลักธรรมเพื่อดับทุกข์ที่ต้นเหตุ คือ “กรรม” หรือการกระทำของเราเอง การแก้เคราะห์ในทางพุทธจึงหมายถึง การพัฒนากรรมใหม่ที่ดีเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตให้พ้นจากผลของกรรมไม่ดีในอดีต โดยสรุปเป็นหัวข้อได้ดังนี้

 ๑. เข้าใจหลักกรรม (กฎแห่งการกระทำ)

หัวใจสำคัญคือการยอมรับว่า เคราะห์” หรือความทุกข์ยากที่ประสบอยู่ คือผลของกรรม (การกระทำ) ที่เราเคยทำไว้ในอดีต ทั้งในชาตินี้และชาติก่อนๆ และชีวิตในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่เราทำในปัจจุบัน

  • กรรมดี (กุศลกรรม): การกระทำที่ดีทางกาย วาจา ใจ นำมาซึ่งผลที่ดี คือความสุขและความเจริญ
  • กรรมชั่ว (อกุศลกรรม): การกระทำที่ไม่ดีทางกาย วาจา ใจ นำมาซึ่งผลที่ไม่ดี คือความทุกข์และความเสื่อม

เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว จะทำให้เราเลิกโทษสิ่งภายนอก และหันกลับมามุ่งมั่นสร้างเหตุที่ดีในปัจจุบันแทน


๒. สร้างบุญใหม่ให้ยิ่งใหญ่กว่าบาปเก่า (การทำความดี)

แทนที่จะไป “สะเดาะเคราะห์” หรือทำพิธีแก้กรรม พระพุทธศาสนาสอนให้เราเร่งสร้างกรรมดีใหม่ให้มีกำลังมากกว่ากรรมชั่วในอดีต เพื่อให้ผลบุญส่งผลก่อน เปรียบเหมือนการเติมน้ำดีจำนวนมากลงไปในแก้วน้ำที่มีเกลือเพียงเล็กน้อย ความเค็มของเกลือก็จะเจือจางลงไป ทำได้ 3 วิธีหลักที่เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 3″

  • ทาน (การให้): คือการสละสิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เช่น การทำบุญตักบาตร บริจาคทรัพย์ ช่วยเหลือผู้ยากไร้ การให้ธรรมะเป็นทานถือเป็นทานสูงสุด การให้ทานช่วยลดความเห็นแก่ตัวและความตระหนี่
  • ศีล (การรักษากายวาจาให้ปกติ): คือการตั้งใจงดเว้นจากความชั่วและการเบียดเบียนผู้อื่น พื้นฐานที่สุดคือ ศีล 5 ซึ่งเป็นหลักประกันว่าจะไม่สร้างศัตรูหรือความเดือดร้อนให้ใคร ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักทรัพย์, ไม่ประพฤติผิดในกาม, ไม่พูดเท็จ, และไม่ดื่มสุราเมรัย
  • ภาวนา (การเจริญปัญญาและสมาธิ): คือการฝึกฝนจิตใจให้สงบและเกิดปัญญา เป็นการสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอคือ “กิเลส” ในใจ แบ่งเป็น 2 ส่วน
    • สมถภาวนา: การทำสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบ มีกำลัง ตั้งมั่น
    • วิปัสสนาภาวนา: การเจริญปัญญาให้รู้เห็นความเป็นจริงของโลกและชีวิต (ไตรลักษณ์) ว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ (ทุกขัง) และไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา)

๓. เจริญพรหมวิหาร ๔ (แผ่เมตตา)

การแผ่เมตตาและเจริญพรหมวิหาร ๔ เป็นการปรับคลื่นความถี่ของจิตใจให้เป็นบวกและเป็นกุศล ช่วยลดแรงอาฆาตพยาบาทจากเจ้ากรรมนายเวร และสร้างสภาวะแวดล้อมที่ดีให้กับตนเอง

  • เมตตา: ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
  • กรุณา: ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
  • มุทิตา: ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
  • อุเบกขา: การวางใจเป็นกลางเมื่อไม่สามารถช่วยเหลือได้ โดยเข้าใจว่าเป็นไปตามกรรมของแต่ละคน

การสวดมนต์และแผ่เมตตาเป็นประจำ จะช่วยให้จิตใจอ่อนโยน ลดความโกรธเกลียด และเป็นการอโหสิกรรมให้แก่กันและกัน


๔. ใช้ปัญญาพิจารณาความจริง

เมื่อประสบกับเคราะห์หรือความทุกข์ ให้ใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยและย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรคงอยู่ถาวร (อนิจจัง) การยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงย่อมทำให้เกิดทุกข์ การเข้าใจและยอมรับความจริงข้อนี้จะช่วยให้เราปล่อยวาง ไม่ทุกข์ทุรนทุรายไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น และสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีสติ

โดยสรุป วิธีแก้เคราะห์ในทางพระพุทธศาสนาคือ “การแก้ที่การกระทำและความเข้าใจของตนเอง” ด้วยการ หยุดทำชั่ว (รักษาศีล) เร่งทำดี (ให้ทาน) และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส (เจริญภาวนา) ซึ่งเป็นการสร้างเหตุปัจจัยใหม่ที่ดีเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ไม่ใช่การทำพิธีเพื่อลบล้างกรรมเก่า